ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แถลงว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ หาก “ประเทศและดินแดนที่ไม่เป็นมิตร” ประสงค์ซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ต้องเปิดบัญชีกับธนาคารของรัสเซีย เพื่อการทำธุรกรรมเป็นเงินรูเบิลเท่านั้น หากไม่มีการดำเนินการดังกล่าว รัสเซียถือว่า “เป็นความล้มเหลวของลูกค้า” ในการปฏิบัติตามเงื่อนไข และผู้ผลิตของรัสเซีย “จะหยุดส่งก๊าซให้แก่ลูกค้ารายนั้น”
ทั้งนี้ ปูตินลงนามในกฤษฎีกา เพื่อให้เรื่องดังกล่าวมีผลผูกพันทางกฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า ธนาคารก๊าซพรอมเป็นสถาบันการเงินแห่งเดียว ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดช่องทางรับชำระค่าก๊าซธรรมชาติที่เป็นทั้งสกุลเงินรูเบิล และสกุลเงินต่างชาติ คือดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร แล้วหลังจากนั้น ธนาคารก๊าซพรอมจะเป็นผู้คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเหล่านั้นเป็นเงินรูเบิลต่อไป
สำหรับ “ประเทศและดินแดนที่ไม่เป็นมิตร” ต่อพลเมืองและกิจการของรัสเซีย ตามการประกาศ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ได้แก่ สหรัฐ แคนาดา สมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ทั้ง 27 ประเทศ สหราชอาณาจักร และดินแดนโพ้นทะเลทุกแห่งของสหราชอาณาจักร ยูเครน มอนเตเนโกร สวิตเซอร์แลนด์ แอลเบเนีย อันดอร์รา ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ โมนาโก นอร์เวย์ ซานมารีโน นอร์ทมาซิโดเนียหรือมาซิโดเนียเหนือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ไมโครนีเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และไต้หวัน
ปัจจุบัน ยุโรปนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียประมาณ 40% และน้ำมันประมาณ 30% โดยการขายก๊าซธรรมชาติสร้างรายได้ให้กับรัสเซีย สูงถึงวันละประมาณ 400 ล้านยูโร (ราว 14,747.77 ล้านบาท)