ดูซีรี่ย์ Tribes Of Europa ยูโรปาทมิฬ ซีรีส์แนวไซไฟดราม่า-ดิสโทเปียจากประเทศเยอรมัน สร้างโดย Wiedemann & Berg Film Production สตูดิโอหนังจากประเทศเยอรมัน ผู้สร้างซีรีส์เรื่อง DARK ที่เคยสร้างความอึ้งตาแตกของงานไซไฟแนวยุโรปที่ยอดเยี่ยม
คราวนี้ขอลดสเกลจากเรื่องกาลเวลามาเป็นเรื่องของโลกอนาคตที่ล่มสลายอย่างที่คนดูหนังชอบเรียกกันว่า ดิสโทเปีย แทน สร้างโดย ฟิลิป คอค พร้อมด้วยนักแสดงเยอรมันคับคั่งอย่าง เฮนรีเอตเทอ คอนฟูเรียส, เอมิลิโอ ซาครายา, ดาวิด อาลี ราเชด จัดจำหน่ายโดยเน็ตฟลิกซ์ ถือเป็นอีกครั้งที่บริษัทสร้างหนังเนรมิตเรื่องราวสไตล์ของตัวเองอีกครั้ง ด้วยพล็อตที่ใครได้ยินก็ต้องเชื่อว่ามันมีจนเฝือแล้วในวงการฮอลลีวู้ด แต่พอมันมาอยู่ในสเกลของยุโรป มันก็ต้องสร้างจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจได้เช่นกัน
“ในปี 2074 โลกนั้นได้ล่มสลาย เทคโนโลยีได้ตายจากอย่างไม่ทราบสาเหตุที่เรียกว่า “ธันวาทมิฬ” สังคมมนุษย์ในยุโรปหลังจากนั้นถูกแบ่งออกเป็นชนเผ่าจักรวรรดิต่าง ๆ เรียกว่า ยูโรปา ผู้คนที่อาศัยบางส่วนถูกบีบให้ต้องฆ่ากันเอง บางส่วนอยู่อย่างสงบมาเป็นเวลานาน หรือแม้แต่กองกำลังทหารที่พยายามทวงคืนสังคมที่แสนสงบกลับคืนมา แต่สามพี่น้อง เอลย่า ลิฟ และคีอาโน ที่อาศัยอยู่ในชนเผ่าที่แสนสงบสุขร่วมกับพ่อของตัวเอง ครอบครัวที่แสนรักใคร่กลมเกลียว กลับต้องถูกดึงเข้าสู่วังวนแห่งการเอาชีวิตรอด เมื่อภัยอันตรายจากชนเผ่าชั่วร้ายได้เข้าคุกคามชีวิตและแยกพวกเขาออกจากกัน ทั้งสามจึงต้องหาหนทางที่จะดิ้นรนมีชีวิตรอด เพื่อความหวังที่จะปลดปล่อยเผ่าต่าง ๆ จากความมืดมิดที่กำลังเข้าครอบงำทวีปอย่างช้า ๆ”
หากได้ดูหนังฮอลลีวู้ดมาเยอะ ๆ จะเข้าใจได้ในทันทีเลย ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย ทั้งเรื่องพล็อตโลกล่มสลาย เรื่องของชนเผ่าต่าง ๆ ที่ต้องอยู่แยกกันไม่ให้มีปัญหาหรือสงคราม ไม่ก็ต้องออกช่วงชิงอาณานิคมในทวีป ซึ่งมันคือองค์ประกอบสำคัญของแนวดิสโทเปีย แน่นอนซีรีส์ก็เดินเรื่องแบบนี้เหมือนกัน โครงของมันแบบไม่สปอยก็คือ ตัวละครอยู่แบบสงบ ๆ งง ๆ ไม่อะไรกับใคร แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นกับตัวเองจนต้องหลบหนีออกมาจากที่ที่ตัวเองเคยอยู่ การกระทำของตัวละครนั้นสอดคล้องกับตัวละครและสมเหตุสมผลทุกคน เนื้อเรื่องยังแฝงไปด้วยความรุนแรงที่บางครั้งอายุ 18 ก็ยังต้องพิจารณาตาม เพราะมันแรงมากอย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือความจริงจังที่ซีรีส์อเมริกันให้ไม่ได้ คือ เดินเรื่องไปข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา ในขณะเดียวกันก็ใส่ใจรายละเอียดหรืออารมณ์ของตัวละครด้วย ทำให้เรารู้สึกอินตามว่าเราจะอยู่ฝั่งไหน มีมิติของการกระทำนั้นอยู่ ในช่วงตอนแรกอาจจะรู้สึกว่ามันแปลก ๆ ซ้ำซาก แต่พอเข้าช่วงก่อนท้ายเรื่องในตอนแรกมันจะสาดความน่าติดตาม หลังจากนั้นก็จะอยากดูตอนต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเหมือนตอนแรกมันจะรู้แล้วว่าปูอะไร แล้วค่อยใส่รายละเอียดเพิ่มจนมันสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง เอาง่าย ๆ คือ มันเป็นการนำข้อเด่นของดิสโทเปียอเมริกันมาตีความแบบยุโรป และมันได้ผลมากเมื่อมาเจอความเอาใจใส่รายละเอียดในงานสร้างแบบนี้
การแบ่งพาร์ทตัวละครที่ให้อารมณ์เหมือนสตาร์วอร์ไตรภาคหลัง ๆ ที่มุ่งเน้นเล่าเรื่องการค้นหาตัวเอง หลังจากถูกโจมตี และได้พบกับชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ แม้จะอยู่คนละฝั่ง แต่ละคนถูกผลักให้ไปสู่เส้นทางของตัวเอง สลับกับการมีตัวละครเสริมเด่น ๆ มาช่วยเติมรสชาติให้การเดินทางนั้นมีสีสันด้วย อีกทั้งเนื้อเรื่องยังไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและสะเทือนใจแบบไม่เกรงใจคนดู ตัวละครต่าง ๆ ต้องเจอกับเรื่องแย่ที่ไม่สมกับวัย แต่ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไปอย่างมีความหวังว่าสักวันจะได้เป็นอิสระญ่ที่กระทบกับชีวิตจนต้องเอาชีวิตรอด พร้อมกับค้นหาตัวตนหรือความลับของอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เอลย่า เด็กหนุ่มผู้มีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ ลิฟ เด็กสาวที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือครอบครัว หรือ คีอาโน ชายที่พร้อมแลกทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด ทั้งหมดนี้ทำออกมาได้ครอบคลุมและทำให้เห็นพัฒนาของตัวละครที่มาจากการผลักดันของตัวละครอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ที่จะทำให้การเดินทางครั้งนี้เปลี่ยนแปลงของพวกเขาไปในทิศทางที่คุณจะไม่สามารถคาดเดาบทสรุปได้เลย สามตอนแรกผมบอกได้ว่าคุณจะติดหนึบไปไหนไม่รอดเลย ถ้าคุณชอบแนวนี้และติดตามเรื่องราวไปด้วยกัน
ประเด็นในเรื่องน่าสนใจมาก ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องการแบ่งสภาพสังคมแบบจักรพรรดิหรือชนเผ่า (มันชวนให้นึกถึง brexit หรือ การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรที่กำลังเกิดขึ้น แต่นี่คือทั้งยุโรปเลย เพราะโลกถูกทำลายไปแล้ว) สังคมมนุษย์ตอนที่ไร้เทคโนโลยีและกลายเป็นคนป่าเถื่อนที่โหยหาสิ่งต่าง ๆ ราวกับสัตว์ป่า สังคมคนชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตเหมือนคนบ้า ไร้สติ แต่งตัวประหลาดเพื่อสนองตัณหาของตนเอง และทำทุกอย่างให้คนที่อ่อนแอกว่าต้องมาเป็นทาสทำทุกอย่างตามคำสั่ง (คล้ายกับรัฐพาเน็มในฮังเกอร์เกม) อาจเป็นเพราะคนเหล่านี้ต่างต้องดิ้นรนจนเป็นได้อย่างที่เป็นในทุกวัน หรือกลุ่มกองทัพที่เชื่อว่าสงครามจะนำมาซึ่งความสงบสุขของทวีป ก็เป็นอะไรที่น่าคิดว่า สุดท้ายแล้วเราจะปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอย่างไม่สนใจสังคม หรือจะยอมรับว่าการต่อสู้เป็นสิ่งที่สังคมบีบบังคับ และสู้ไปอย่างไร้ความหมายหรือไม่
ถึงแม้ว่าชนเผ่าต่าง ๆ จะไม่ได้แทนภาพของชนชั้นอะไรมากแต่ก็ทำให้เห็นแนวคิดที่แตกต่างและมันส่งผลกระทบต่อเผ่าอื่นในยุโรป หรือ ในเรื่องเรียกว่าทวีปยุโรปา หรือหนทางการเอาชีวิตรอดที่ถึงขนาดจะต้องทำทุกอย่าง แม้แต่ละทิ้งตัวตนเดิมของตัวเองทั้งด้วยความจำยอม และ การหักหลังจากสถานการณ์บีบบังคับอย่างไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ยังพูดถึงฝันร้ายเทคโนโลยีที่เป็นภัยกับสังคมและทำให้มนุษย์ในเรื่องเลือกที่จะหนีเข้าไปตั้งถิ่นฐานใช้ชีวิตเยี่ยงคนโบราณ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็มาจากเทคโนโลยีของอะไรบางอย่าง ถึงแม้จะเป็นการโชว์ให้เห็นว่าลูกบาศก์สำคัญในการเปลี่ยนชะตากรรมโลก ในเรื่องของการกุมความลับของอำนาจ แต่มันก็ไม่ใช่โฟกัสของเรื่องหลักเท่ากับการเดินทางของตัวละครที่ต้องเจอเรื่องมากมายเพื่อจะได้ฝ่าฟันอุปสรรคที่แสนเจ็บปวดไปให้ได้ และมันทำออกมาได้ไหลลื่นไม่อืดอาดเลยสักฉาก
ต้องบอกเลยว่านอกจากจะใส่ใจในเนื้อเรื่องแล้ว ซีจีงานสร้างของเรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดา แม้จะไม่ได้ออกอะไรมาก แต่ตึกรามบ้านช่องที่เนรมิตออกมาก็ทำออกมาดูดี วัตถุต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีก็ดูล้ำสมัยและเข้ากับตีมเรื่องที่อนาคตล่มสลายได้เป็นอย่างดี เพลงประกอบบรรเลงนั้นอลังการยิ่งกว่าในตัวอย่างอีก มันช่วยมอบความเร้าอารมณ์ แต่ในส่วนเพลงแทรกอาจจะหลุดตีมไปนิดหน่อย เพราะโลกมันล่มสลายแต่กลับมีเพลงป๊อบอยู่ ไม่รู้เขาอาจจะยังมีเครื่องเล่นเพลงอยู่ก็ได้ บางอันก็ได้ผล บางอันก็อีหยังวะหน่อย ๆ มุมกล้องกับโทนสีของเรื่องยังกับภาพยนตร์และมีมุมกล้องที่ให้อารมณ์ลองเทคผสมกับแรงบันดาลใจจากวิดีโอเกม ซึ่งผมว้าวตรงนี้มาก ๆ เพราะพอมันนำมาใช้ในเรื่องมันช่วยเสริมอารมณ์เดือดดาลของเรื่องนี้ ทีมนักแสดงที่แม้จะไม่รู้จักแต่ก็สามารถทำให้หลงรักตัวละคร ไม่ใช่แค่เรื่องของการแสดงแต่ยังมีความเป็นตัวละครนั้น ๆ สามารถยืนเป็นตัวละครที่จะเดินเรื่องในซีซั่นต่อไปได้ เล่นสาดอารมณ์กันขนาดนั้น ทำให้เราอินได้ด้วยถือว่าสอบผ่าน เพราะแต่ละคนคือมาไกลมากในตอนสุดท้าย และคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากมายให้ว้าวกันแน่ ๆ
เพชรเม็ดงามจากยุโรปของเน็ตฟลิกซ์ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกชุดแล้ว ซีรีส์ยุโรปที่หยิบนำข้อดีของดิสโทเปียมาเขย่าอย่างสมเหตุสมผล ตัวละครแรงจูงใจและเหตุการณ์ที่น่าติดตาม และแฝงทุกอารมณ์ ทั้งรัก เศร้า สิ้นหวัง ตลก ดราม่า ในทุก ๆ ตอน ก็ต้องบอกเลยว่าไม่อยากให้ข้ามไป เพราะมันดีมาก ๆ ดีแบบไม่น่าเชื่อ แม้จะมีชื่อของโปรดิวเซอร์ที่สร้างซีรีส์ DARK ปรากฏมันก็ไม่ทำให้ผมสบายใจ จนกระทั่งได้ดูด้วยตาของตัวเอง มันคือความตื่นเต้นตลอด 6 ตอน ความยาวไม่ถึง 1 ชั่วโมง ให้อารมณ์แบบหนังดิสโทเปียในท้องตลาดแต่มาในรูปแบบซีรีส์ที่มีคุณภาพที่ทั้งสนุกและทิ้งปมในทุกตอน แถมดูเหมือนว่าจบแบบนั้นมันต้องมีซีซั่นต่อแน่ ๆ เพราะซีซั่นนี้มันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ความยิ่งใหญ่ในระดับน้อง ๆ สตาร์วอร์ เลยทีเดียว ซึ่งดูง่ายกว่าซีรีส์เวลาอย่าง Dark มาก เพราะฉะนั้นคุณจะไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ปล่อยให้เรื่องราวกับงานสร้างดี ๆ พาคุณไปก็พอ เพราะงั้น คุณจะรออะไรอยู่ล่ะครับ ไปดูเลย!! แต่ว่า เรตมันระดับ 18+ ก็พิจารณาความรุนแรงในเรื่องด้วยนะครับ เพราะตัวละครวัยรุ่นในเรื่องไม่ได้เจออะไรที่เบาเลยสักคน